หลวงพ่อธัมมชโย กล่าวถึงหลวงพ่อทัตตชีโว

 เจอกันวันลอยกระทง 

หลวงพ่อธัมมชโย: วันลอยกระทง วันประวัติศาสตร์ระหว่างหลวงพ่อ กับหลวงพ่อทัตตะซึ่งเจอกันเมื่อปี พ.ศ. 2509 เผลอประเดี๋ยวเดียว 40 กว่า ปีแล้ว พบกันวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง

หลวงพ่อทัตตะเคยเล่าให้หลวงพ่อฟังตั้งแต่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์ว่า อัธยาศัยของท่านไม่ทราบมันเป็นอย่างไร พอถึงวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ใน ทุก ๆ เดือน ใจท่านเหมือนหลุดโลก เหมือนอยากปลีกวิเวก แล้วก็อยากปฏิบัติธรรม หลวงพ่อจําได้ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ชุมชน หรือกำลังสนุก ๆ อะไรอยู่ใจของท่านจะสงัดขึ้นมาเลย สงัดจากทุกสิ่งเลย แล้วก็ลอยบาปอกุศลกรรมออกจากใจ ท่านจะเหมือนอยู่คนเดียว แล้วก็ทำสมาธิ นี่เป็นอัธยาศัยของท่าน

ตอนที่เจอกันในวันลอยกระทง เป็นช่วงที่หลวงพ่อกลับมาจาก วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลังจากปฏิบัติธรรมกับคุณยายอาจารย์ฯ เสร็จ 2 ทุ่ม ท่านก็ให้กลับ ก็ต้องขึ้นรถกลับมาคนเดียว พอมาถึงที่หน้ามหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่เขาจัดงานกัน

หลวงพ่อก็จะมีธาตุชนิดหนึ่งไปตรงไหนจะมีเด็กอยู่ตรงนั้น ก็ไปเล่นกับเด็ก ๆ สนุก ๆ ไม่ได้คิดอะไร ก็มีตั้งแต่เด็กตัวเล็ก ๆ กระทั่งถึงเด็กแก่ ๆ มามุงดู จนกระทั่งนักร้องวงดนตรีสุนทราภรณ์ที่อยู่ใกล้ ๆ หมดอารมณ์ร้องเพลง แล้วก็พากันมาดูใหญ่เลย มาดูหลวงพ่อเล่นกับเด็ก ๆ แล้วในกลุ่มที่มาดูนี้ก็มีหนุ่มรูปหล่อเท่ระเบิดคนหนึ่ง

ท่านเป็นหนุ่มนักเรียนนอกจากออสเตรเลีย มายืนกอดอก ใส่เสื้อลายพร้อยเลย แล้วก็ใส่กางเกงยีนส์ ชื่อว่าเตียวหุย ท่านมีอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งชื่อเตียวหุย ตัวหนึ่งชื่อกวนอู วันนั้นใส่เตียวหุยมายืนดู จนกระทั่ง พอเลิกเล่นสนุกกับเด็ก ๆ ท่านอารมณ์ดี ใจดี ก็ชวนหลวงพ่อ บอกว่า ไป! ไอ้น้องแก้ว หลวงพ่อยังจำประโยคนั้นได้ ไป! เดี๋ยวพี่จะเลี้ยง หลวงพ่อก็คิดว่า ดีสิ แต่ยังไม่ทราบว่าจะเลี้ยงอะไร ก็เดินขบวนตามกันไป มีพรรคพวกตามไปด้วย นึกว่าจะเลี้ยงอะไร ที่แท้เลี้ยงด้วยแก้ว ในแก้วก็มีเครื่องดื่มมึนเมา ไอ้น้องแก้วต้องดื่มสักแก้วหนึ่ง

หลวงพ่อมีบุญอยู่อย่างหนึ่ง คือจะมีเพื่อนที่แสนดีและน่ารักคอยปกป้อง เพื่อน ๆ ก็ช่วยกันบอกว่าหลวงพ่อเป็นโรคกระเพาะบ้าง เป็นโน่นเป็นสารพัด แต่หลวงพ่อยืนยันบอกไปว่า ไม่ครับ ไม่ดื่ม เพราะถือศีล 5 คุณยายอาจารย์ ท่านบอกให้ถือศีล พอถือศีลแล้ว รู้สึกสบายใจ ก็บอกไปว่าไม่ดื่ม เพราะถือศีล 5 ท่านก็เลยชะงัก

ท่านก็มาเปิดเผยภายหลัง เพราะประโยคถือศีล 5 นี้จริง ๆ ทำให้ท่านมาตามตัวหลวงพ่อถึงหอพัก แล้วมาบอกว่า ไป ไอ้น้องไป ไปอยู่ด้วยกัน

ไปอยู่ที่ไหนล่ะพี่

ไปอยู่คอกวัวด้วยกัน

 ท่านเคารพในธรรม 

หลวงพ่อธัมมชโย: ตอนที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ หลังจากงานลอยกระทงพอเจอกันคุยกันถูกคอพร้อมกับไปตอบปัญหาถูกใจท่าน เพราะท่านไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเด็กหนุ่มถือศีล 5 เพราะท่านก็ถือศีล 5 มาก่อน ท่านก็เลยชวนไปอยู่ด้วย เรากำลังอยู่สุขสบาย ก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมไปใจอ่อนกับท่านก็ไม่รู้

ท่านเอารถจักรยานมารับไปเลย ท่านเป็นสารถี นั่งไปเรื่อย ๆ ไปถึงท่านก็ให้นอนบนเตียงท่าน ก็น่าแปลก ทำไมให้รุ่นน้องนอนบนเตียง แต่รุ่นพี่นอนกับที่พื้น ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นรุ่นพี่หลวงพ่อ 4 ปี แล้วระบบอาวุโสในเกษตรแรงมากทีเดียว รุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ แต่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านเคารพในธรรม จะฟังธรรมตามประสาบัณฑิตต้องยกย่องผู้แสดงธรรม ซึ่งหลวงพ่อก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการแสดงธรรม คิดว่ารุ่นพี่ถามก็ตอบ คุย ๆ กันสนุก ๆ แต่ก็แปลกใจทำไมให้นอนอยู่ข้างบน

เดิมอยู่กับหมู่มนุษย์ ตอนนี้มาอยู่ในคอกวัว แต่ทางคอกวัวก็มีสิ่งพิเศษ คือมีโรงนม เราก็ผูกสมัครรักใคร่กับยาม คือยามเขาก็ไม่เคยได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการสร้างบารมี พอเห็นก็สงสารเขานะ จะเป็นยามกันทุกชาติหรืออย่างไร ก็เลยชวนเขานั่งสมาธิ แล้วก็คุยกันอย่างถูกคอ ผลที่ตามมาคือเขาเอานมมาให้วันละลัง กลับจากไปหาคุณยายอาจารย์ฯ มาเจอนมขวดเป็นลังเลย ก็แบ่งกันกับหลวงพ่อทัตตะในฐานะเป็นกัลยาณมิตรกัน

แต่กว่าจะได้นอนแต่ละคนก็ตี 1 ตี 2 ไม่รู้ท่านสรรหาคำถามอะไรมาก็ไม่รู้มากมาย ถามกันอยู่นั้น นอนคุยกันไป ดูเหมือนฟังเพลิน ๆ แต่ว่าแต่ละคำถามนี่พร้อมที่จะไล่ลงจากเตียงได้ทุกเวลาก็ยังแปลกใจว่า หลวงพ่อก็สามารถตอบคำถามท่านไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตอบคำถามท่านไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ประตูมุ้งลวดยังดีอยู่ จนกระทั่ง ตอนหลังมีวิธีเปิดมุ้งลวดแบบเฉพาะตัว คือทะลวงให้มันทะลุเข้าไปแล้วเอามือล้วงเข้าไปเปิดก่อน

ท่านอยากไปหาคุณยายอาจารย์ฯ ของเรามากเลย ก็ร่ำร้องอยู่เรื่อย ๆ ว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะพาท่านไปพบคุณยายอาจารย์ฯ สักที หลวงพ่อพอฟังคำถามของท่านและก็ดูโหงวเฮ้งท่านแล้ว ท่านยังมีทั้งกางเกงยีนกวนอูและเตียวหุยอยู่ จะต้องปฐมนิเทศ ทุติย ตติย ให้มันครบสหัสนิเทศน์ คือให้ครบสักพันครั้งก่อนแล้วค่อยพาไป ขืนพาไปอย่างนี้ เดี๋ยวก็โดนคุณยายอาจารย์ฯ ไล่ออกจากบ้านแน่

จากนั้นท่านก็ถามเรื่องธรรมะตั้งแต่หัวค่ำถึง 2 ตี 3 ไม่น่าเชื่อ อยู่ด้วยกันที่คอกวัว คุยแต่เรื่องธรรมะ คุยกันซักถามอะไรต่าง ๆ กันเรื่อยไป พอนึกย้อนหลังทีไรก็ปลื้มใจในหนทางแห่งการสร้างบารมีที่เจอกันเรื่อยมา จนกระทั่งบัดนี้ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกันตลอดเลย

นี่คือคุณธรรมของท่านที่เคารพธรรม แม้หลวงพ่อจะเป็นรุ่นน้อง ท่าน 4 ปีก็ตาม ก็เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษาสำหรับผู้ที่จะสร้างบารมีตามหลังกันมา…

 ท่านทิ้งสิ่งที่ขวางทางไปนิพพาน 

หลวงพ่อธัมมชโย: หลังจากที่ซักถามเรื่องธรรมะและคุยกันถึงเรื่องราว ความรู้ของวิทยาธรเรื่อยไปจนถึงความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในที่สุดหลวงพ่อก็พาท่านไปพบคุณยายอาจารย์ฯ หลังจากที่ท่านพาหลวงพ่อไปพบอาจารย์ของท่านก่อน คือ ท่านอยากให้ได้รู้จักกันด้วยรักต่างหาก ท่านจึงพาไปพบอาจารย์ของท่าน หลวงพ่อก็ไปพบกับอาจารย์ของท่าน อาจารย์ท่านไม่ใช่พระอาจารย์แต่เป็นฆราวาส

       พอตามใจท่านเสร็จ ท่านก็ตามใจเรา หลังจากนั้นจึงได้พามาพบคุณยายอาจารย์ฯ

แต่หลังจากที่ท่านถามโน่นถามนี่ถามอะไรสารพัด หลวงพ่อ ตอบคำถามไป ก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกัน ที่จริงท่านก็รู้เรื่องของท่านอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นนักอ่าน ไม่ใช่เป็นแค่หนอนหนังสือ แต่ท่านเป็นประเภทซูเปอร์หนอนเลย หนังสือทุกเล่มในห้องสมุดอ่านหมดทุกเล่มทุกเรื่อง เป็นพหูสูตตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จนกระทั่งได้พาท่านมาพบคุณยายอาจารย์ฯ ก็ศึกษาค้นคว้าธรรมะกันเรื่อยไป แล้วพอท่านรู้ว่าอะไรเป็นวิชาที่ประเสริฐที่สุดที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ ท่านก็มุ่งศึกษาวิชานั้น ส่วนวิชาอะไรที่ทำให้ยังขวางต่อหนทางพระนิพพาน ท่านก็วางเลย ไม่ใช่วางอย่างเดียว ท่านขว้างเลย ขว้างวิชาที่มันขวางต่อหนทางพระนิพพาน ขว้างลงไปในสระที่อยู่ด้านหน้าที่พัก

แต่ก่อนที่ท่านจะขว้างตำรับตำราอะไรของท่านทิ้งไป ก็มีเรื่องแปลกคือเห็นท่านนั่งสมาธิ ก็เห็นท่านอยู่ของท่านคนเดียว ที่ ๆ ท่านนั่งเป็นชั้นเดียวยกพื้นสูงแต่มีสองห้อง แต่วันนั้นแปลกมากทำไมมีเสียงเคาะที่ช่องลม คือที่ช่องลมสูงจากพื้นที่ประมาณ 3 เมตรกว่าเกือบ 4 เมตรก็สูงพอสมควร แต่ทำไมมีเสียงคนเคาะตรงช่องลมรอบอาคารเลย แสดงว่าคนที่จะเคาะอย่างนี้ได้ต้องสูงอย่างน้อยสัก 4 เมตร หรือ 3 เมตรครึ่ง แล้วจะต้องวิ่งเร็ว เคาะ ๆ แล้วยังต้องเดินบนน้ำได้อีกด้วย เพราะด้านหน้าติดน้ำ พอสงสัยก็เลยถามท่าน ท่านบอกว่าได้ยินแบบนี้เป็นปกติ

พอท่านขว้างตำรับตำราของอาจารย์วิทยาธรทิ้งไป ตกกลางคืนเจ้าของวิชามาเลย เพราะอาจารย์เจ้าของตำราเขาถือ คือตอนนั้นยังไม่รู้หลักวิชาในการคืนวิชา พอท่านไม่อาลัยอาวรณ์แล้วก็ขว้างลงไป เจ้าของวิชาก็มาเพราะไม่ถูกหลักวิชา

ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเห็นแต่ส้น แต่ไม่เห็นตัว พอมาก็ค่อย ๆ บรรจงใช้ส้นมาคลึงที่หน้าอก ท่านบอกว่า ถ้าเป็นคนอื่นถูกคลึงอย่างนี้ ต้องกระอักออกมาเป็นเลือด แต่ท่านมีบุญเก่าหล่อเลี้ยงรักษา ท่านเป็นหมัดเป็นมวยด้วย เพราะท่านเป็นแชมป์ดาบ 5 มหาวิทยาลัย ท่านไม่ธรรมดานะ ท่านก็ค่อย ๆ บรรจงงอเท้าแล้วก็ยัน

ตอนนั้นเหมือนไม่ได้ฝัน เหมือนอื่น ๆ อย่างนี้ ท่านบอกมันเห็นอย่างชัดเจน พองอเท้าแล้วยัน ร่างนั้นก็ปลิวไปในอากาศ ตั้งแต่วันนั้น ท่านก็ไม่หันหลังกลับไปสนใจอีกเลย

อัธยาศัยของท่าน พอรู้ว่าอะไรมีประโยชน์ก็เลือกสิ่งนั้น อะไรไม่มีประโยชน์ก็ขว้างทิ้ง แล้วไม่หันกลับไปอีกเลย ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ท่านเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว แล้วจากนั้นก็ศึกษาธรรมะกันเรื่อยมา

 อัธยาศัยจริง ๆ ของคุณหลวงพ่อทัตตะ 

หลวงพ่อธัมมชโย: หลวงพ่อก็มีอัธยาศัยเช่นเดียวกับคุณยายอาจารย์ฯ คือชอบเข้าไปสู่ภายใน ในเส้นทางสายกลางภายในไปเรื่อย ๆ คุณยาย ท่านให้นั่งอยู่กับท่าน ให้พูดน้อย ๆ ไม่ให้พูดเยอะมา 30 กว่าปี ก็เลยจะถนัดนำนั่งสมาธิ

แต่องค์ที่ขยายความเก่งคือหลวงพ่อหลวงพ่อทัตตะอัธยาศัยท่าน จะคล้าย ๆ กับคุณยายทองสุข สำแดงปั้น ที่ชอบเผยแผ่ขยายความ แต่โดยพื้นฐานใจจริง ๆ หลวงพ่อทัตตะหรือหลวงพ่อทัตตชีโว ท่านชอบสงบปลีกวิเวกตั้งแต่ท่านยังวัยรุ่น ปกติวัยรุ่นไม่เป็นอย่างท่านหรอก ถึงแม้ จะสนุกสนานเฮฮาอะไร พอถึงเวลาปั๊บ ท่านจะไปตามลำพังไปแสวงหาพระผู้ทรงคุณธรรม คุณวิเศษ ตามถ้ำ ตามป่าเขา จังหวัดกาญจนบุรี

แล้วท่านก็ไปเจออยู่องค์หนึ่ง องค์นั้นท่านก็บอกว่า “เผด็จ คือชื่อ ตอนเป็นคฤหัสถ์ของท่าน “ในท้องเรามีพระนะ” หลวงพ่อหลวงพ่อทัตตะท่านก็นึกค้านในใจ แต่เพราะท่านเป็นคนมีความเคารพครูบาอาจารย์ ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม ท่านก็นึกในใจไม่เห็นด้วยว่า ในท้องคนเรา จะมีพระได้อย่างไร

จากนั้นท่านก็แสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อย ๆ พบวิชาพิเศษ ๆ อะไรต่างๆ ท่านก็จะเป็นคนเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าท่านเจออะไรต่ออะไร คล้ายคุณยายทองสุข

ท่านมากระจ่างแจ้งตอนที่เจอหลวงพ่อแล้วพามาพบคุณยายอาจารย์ฯ นั่นแหละว่า ในท้องเรามีพระจริง ๆ

 ท่านบุกเบิกสร้างวัด 

หลวงพ่อธัมมชโย: ตอนที่หลวงพ่อบวช ก็บวชองค์แรกองค์เดียว ผู้ที่จะหาเงินสร้างวัด ก็มีอยู่ไม่กี่ท่าน ในยุคนั้นก็มีหลวงพ่อทัตตะท่านเป็นผู้นำ ท่านขายของเป็นเซลล์แมน เดินตลาดทั่วประเทศ ตอนนั้นจะมีกระป๋องพลาสติกฝากไว้ที่คุณยายอาจารย์ฯ แล้วพอถึงเวลาเดือนหนึ่ง ท่านก็นำปัจจัยไปฝากให้คุณยายอาจารย์ฯ เก็บเพื่อเตรียมสร้างวัด ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่มีที่ดิน

พอหลวงพ่อบวชวันรุ่งขึ้นก็คิดสร้างวัด แล้วก็คิดจะมีพระอยู่แค่ 21 รูปแค่นั้น เพราะฉะนั้นกุฏิในวัดเราจะเห็นว่า ตั้งห่าง ๆ กัน เพราะคิดว่ามีแค่ 21 รูป ก็พอแล้ว ไม่เอามาก คิดว่ามาบวชแล้วก็มานั่งหลับตาแค่นั้น ใครมานั่งธรรมะ คนหนึ่งก็สอน สองคนก็สอน ก็คิดอยู่แค่นั้น ก็ไม่ได้คิดการทํางานอะไรขนาดนี้

พอคิดจะสร้างวัด คุณยายอาจารย์ ก็เป็นหลักเป็นประธาน ที่มหัศจรรย์คือคุณยายอาจารย์ฯ ถามสั้น ๆ เรียบ ๆ ว่าท่านต้องการ แบบไหน บอกต้องการสัก 200 ไร่ ติดน้ำ ไปมาสะดวก และฟรีเพราะไม่มีเงินซื้อ แล้วต่อมาทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ต้องการ

หลังจากนั้นมาก็ได้ป้าถวิล แล้วก็หลวงพ่อทัตตะพร้อมทีมงานอีกคนสองคนไปหาคุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าวันที่ไปเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน ก็เข้าไปคุยจนได้พูดถึง เรื่องจะขอซื้อที่ดินของท่าน ตอนนั้นตั้งใจว่าจะซื้อแบบผ่อนส่งเพราะเราไม่มีเงิน

พอบอกว่าจะไปขอซื้อ ท่านบอกท่านมีที่ แต่ท่านไม่เคยมาดูที่เลย นายกองนาเป็นคนเก็บเงินไปให้ท่าน ท่านถาม เอาไปทําอะไร บอกว่า จะไปสร้างวัด ท่านก็บอกว่า ไม่ขาย แล้วท่านก็นิ่ง ๆ สักพักหนึ่ง ท่านบอก แต่จะถวาย จะถวายที่ทั้งผืน 200 ไร่ ให้สร้างวัด แล้วนายกองนาก็พามาดูที่ดินแปลงนี้ แล้วชี้ไปที่กลางคลองสาม ซึ่งถูกตัดทำถนนชลประทานริมคลอง 4 ไร่ ก็เลยเหลือ 196 ไร่

พอได้ที่ดินแล้ว ต่อมาก็ให้หลวงพ่อทัตตะท่านลาออกจากงาน ท่านก็ลาออกจากงาน เพราะคุณยายอาจารย์ฯ บอกว่า เดี๋ยวยายจะหาเงินสร้างวัดเอง แล้วหลวงพ่อทัตตะท่านก็มาคุมการขุดดินสร้างวัด ขุดตั้งแต่ก้อนแรกเรื่อยมาจนขุดคูคลองอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งสร้างกันเสร็จ เรียบร้อย

หลวงพ่อทัตตะของเราท่านเหนื่อยมาก สร้างบารมีมาด้วยความลำบากมากมาตลอดเลยทีเดียว…

 ว่าอย่างไร ท่านก็ว่าตามกัน 

หลวงพ่อธัมมชโย: ตอนที่ท่านมาคุมการขุดดินสร้างวัด ท่านก็ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ ใต้ถุนสูงไว้หลังหนึ่ง เอาไว้หน้าวัด เวลานอนท่านก็เอากระดาษแข็ง ๆ วางซ้อนกันสองชั้นรองบนพื้นแล้วถึงจะนอน เพื่อที่ท่านจะได้รู้ตัวก่อน ท่านบอกว่าเผื่อมีใครขี้เล่น เอามีดเสียบเข้าไปตามพื้นช่องกระดาน ก็จะเจอกระดาษแข็ง ๆ ก่อนที่จะถึงตัวท่าน และบ้านที่ปลูกก็จะปลูกบ้านห่างกองฟาง ท่านบอกเผื่อเหนียวไว้ก่อน ท่านรอบคอบมากทีเดียว

พอท่านคุมคนขุดดิน ท่านก็จะไปเบิกเงินกับคุณยายอาจารย์ฯ ยายครับ พรุ่งนี้จะต้องมาเบิกเงินไปให้เขาแล้ว คุณยายท่านก็รับทราบสั้น ๆ ว่า ค่ะ แล้วก็ไม่เห็นคุณยายฯ ท่านพูดอะไร คุณยายครับ พรุ่งนี้จะมาเบิกเงิน ท่านก็ ค่ะ ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร คุณยายครับ พรุ่งนี้จะมาเบิกเงิน บอกคุณยายอาจารย์ฯ อย่างนี้ ๆ จนครบ ตติย 3 ครั้ง ท่านก็ตอบเรียบ ๆ ค่ะ ก็น่าแปลกใจ ถุงกระดาษสีน้ำตาลที่แฟบ ๆ พอเวลาจะเบิกเงินทีไรก็มีคนเขาเอาปัจจัยมาทำบุญเป็นอย่างนี้ตลอด วันต่อวันรอบต่อรอบไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างกันเสร็จเรียบร้อย

พอถึงเวลาบวช ท่านมีบุญมากทีเดียว ตอนหลวงพ่อบวชมี ผู้มาร่วมงานประมาณ 20 กว่าคน ก็บุญใครบุญมัน แต่ของหลวงพ่อทัตตะมาเป็นพันเลย มามากจนแทบจะไม่มีที่จะนั่งเลย เต็มแน่นไปหมด

พอบวชเสร็จท่านก็เริ่มอบรมธรรมทายาท ท่านก็เป็นพระอาจารย์ สอนเรื่อยมา ลําบากเรื่อยมา แล้วพอถึงเวลาที่เขาตั้งตำแหน่งเจ้าอาวาส หลวงพ่อในฐานะบวชก่อนก็ได้เป็นเจ้าอาวาส แต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่จริงคือท่าน คือหลวงพ่อทัตตะหรือหลวงพ่อทัตตชีโว ภาระทุกอย่างท่านแบกรับหมดเลย

หลวงพ่อไม่เคยได้ยินค่าว่า ไม่ไหว ไม่ได้ ไม่มี ไม่อะไรต่าง ๆ จากท่านเลย ได้ยินแต่คำว่า มี คำว่า ครับ ๆ มาตลอด ไม่เคยปฏิเสธเลย ว่าอย่างไรว่าตามกันมาตลอด สร้างบารมีร่วมกัน ให้ทำอย่างไรก็เอา ไม่เคยขัดใจกันเลย…

 ท่านไม่เคยบ่น ไม่มีทะเลาะกัน 

หลวงพ่อธัมมชโย: นึกย้อนหลังไปเกือบ 50 ปีแล้ว ก็ชื่นใจว่า วันเวลาที่อยู่กับท่านสร้างบุญสร้างบารมีด้วยกันเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่เคยทะเลาะกันเลย เล่าให้ใครฟังก็ไม่น่าเชื่อ ไม่เคยทะเลาะกันขัดแย้งกัน ก็ไม่เคย ทั้ง ๆ ที่ปกติในการทำงานร่วมกันไม่ว่างานที่ไหนต้องมีการ ขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องปกติ

 แต่ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงพ่อทัตตะตั้งแต่สร้างบารมีร่วมกันมา ไม่มีการขัดแย้งเลย ถ้าไม่นึกก็ไม่แปลก พอนึกแล้วมันก็น่าแปลก ทั้งที่หลวงพ่อเองเป็นฝ่ายชวนท่านทะเลาะ แต่ไม่เคยสำเร็จเลย เพราะท่านนิ่ง ถ้าไม่นิ่งท่านก็เดินหนี แล้วเราอยู่กัน 2 คน จะให้หลวงพ่อพูดคนเดียวได้อย่างไร ก็ต้องพูดกับท่าน แต่พอท่านเดินหนี ก็ไม่รู้จะไปคุยกับใคร

ท่านไม่ทะเลาะก็ไม่ทะเลาะ เรื่องที่จะเป็นประเด็นขัดแย้งก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างวัดทั้งนั้น

อย่างเช่นตอนที่ขุดเสร็จ หลวงพ่อก็พาท่านและหมู่คณะมายืนอยู่ตรงคันคูท้ายวัดตอนนั้นยังไม่มีกำแพง แถวนั้นยังเป็นท้องนาอยู่ สมัยนั้นแค่สร้าง 196 ไร่ ก็หืดขึ้นคอ เพราะท่านเหนื่อยมาก คุณหลวงพ่อทัตตะท่านเหนื่อยมากนะ แต่ไม่เคยได้ยินท่านบ่นเลย อันนี้ก็เป็นคุณธรรมของท่าน เหนื่อยแต่ไม่เคยบ่น

วันนั้นก็ยืนเรียงกันเป็นแถวเลย ยังหนุ่ม ๆ ทั้งนั้น หลวงพ่อก็บอกว่าพอ 196 ไร่ เราเสร็จแล้ว ต่อไปตรงนี้นะเราจะเอา 2,000 ไร่ ตั้งแต่หน้าอำเภอไปถึงสนตรงโน้นเลย ท่านเดินลงจากคันคูไปเลย พอหลวงพ่อหันมาหายกันไปหมดแล้ว เหลือเราอยู่คนเดียว คล้าย ๆ ท่านเดินไปก็คงรำพึงไป แต่มักจะไม่ให้หลวงพ่อได้ยิน คงรำพึงประมาณว่า 196 ไร่ ก็หืดขึ้นคอแล้ว นี่จะเอา 2,000 ไร่ หืดคงขึ้นจอมกระหม่อมเลยคราวนี้

ไม่เคยทะเลาะกันเลยก็เป็นเรื่องที่นักสร้างบารมีทั้งหลายควรจะยึดเป็นแบบแผน เพราะทำให้งานการเจริญก้าวหน้ามาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แม้จะมีศึกเหนือเสือใต้ประดังเข้ามาอย่างไรก็แล้วแต่ แต่งานของเราก็ยังดำเนินกันไปเรื่อยๆ

คุณธรรมของคุณหลวงพ่อทัตตะท่านยังมีอีกเยอะ

 ท่านไม่เคยว่างเว้นจากการเป็นผู้ให้แสงสว่าง 

หลวงพ่อธัมมชโย: ตอนที่เริ่มสร้างวัด คุณยายอาจารย์ฯ ท่านยอมสละทิ้งสถานที่ที่ท่านรักมากที่สุดเลย เพราะว่าเป็นที่ที่ได้อยู่ทวิชชากับพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว แล้วก็มีคนทำวิชชาได้ก็ตั้งเยอะแยะอย่างนั้น ท่านก็มาเป็นหลักเป็นประธานในการสร้างวัดให้ มาแต่ตัวกับหัวใจ มีแผ่นดินอยู่ผืนหนึ่ง เป็นท้องนาที่ทำนาไม่ได้ แล้วท่านก็หอบลูกหลานของท่าน หนุ่ม ๆ ทั้งนั้นเอามาอยู่สร้างวัดกัน

การสร้างวัดตอนต้นก็ได้หลวงพ่อทัตตชีโวหรือหลวงพ่อทัตตะของเรา ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวชก็เริ่มลงมือสร้างกัน สมัยนั้นลำบากมากทีเดียว

จากบางขันกว่าจะมาถึงวัดก็ใช้เวลาเท่า ๆ กับปัจจุบันนี้ แต่ตอนนั้นไม่มีรถติด แต่ถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อ กว่าจะมาถึงก็ครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวนี้ก็ครึ่งชั่วโมงเหมือนกันเพราะรถมันติด มันเจริญ นึกไม่ถึงเลย เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วสถานที่ตรงนี้ไม่มีใครสนใจเลย ที่ดินไร่ละ 3,000 บาท หน้าวัดก็เป็นดินเหนียว รถแล่นทีก็พร้อมเสมอที่จะลงคลอง ลำบากอย่างไรก็ลุยสร้างกันเรื่อยมา

หลังจากที่ท่านบวชแล้ว ท่านก็เริ่มอบรมธรรมทายาทรุ่น 1 เรื่อยมาเลย อบรมอยู่กลางแจ้ง มีเต็นท์เล็ก ๆ กางอยู่ อาคารก็ยังไม่มีสักหลัง นั่งสมาธิในเต็นท์ เวลาเมื่อยก็เดินทําสมาธิแก้เมื่อยท่ามกลางแสงสว่างของดวงตะวัน ต้องเอาผ้าชุบน้ำโพกศีรษะเดินกัน

คุณหลวงพ่อทัตตะหรือหลวงพ่อทัตตชีโวท่านก็เป็นผู้อบรมให้ พร้อมทั้งเขียนตำรับตำรา เขียนหนังสืออย่างเล่ม ก่อนไปวัด เขียนเพื่อให้ทุกคนได้รู้วิธีไปวัดได้อย่างถูกหลักวิชชาว่า ก่อนจะไปวัดทุก ๆ วัดในโลก จะต้องศึกษาความรู้จากหนังสือเล่มนี้ เพื่อจะได้ไปวัดได้ถูกหลักวิชชา นำมาซึ่งความเลื่อมใสของทุก ๆ คน

แม้อายุสังขารจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านก็พยายามรวบรวม แล้วก็เรียบเรียงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารวมกับประสบการณ์แล้วมาใส่ในหนังสือหลาย ๆ เล่มให้เราเอามาใช้เป็นบทเรียนกัน กระทั่งใช้สอบตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า ใช้สอบ World-Pec ใช้ สอบอะไรอีกมากมาย

แม้วัยจะ 70 กว่าปีแล้ว ท่านยังขึ้นเทศน์สอน ท่านไม่เคยว่างเว้นจากการเป็นผู้ให้แสงสว่างเลย…

 ท่านเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของโลก 

หลวงพ่อธัมมชโย: เผลอประเดี๋ยวเดียวคุณหลวงพ่อทัตตะก็ 70 กว่าขวบแล้ว อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่หน้าขาวผมดำเมื่อม จนกระทั่งหน้าดำผมขาว 40 กว่าปีแล้วที่อยู่ด้วยกัน ยาวนานยิ่งกว่าอยู่กับญาติ เพราะอยู่ที่บ้านยังแค่ไม่กี่ปี ตั้งแต่คบกับหลวงพ่อนี่ท่านเหนื่อยมากเลย เหนื่อยเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ย้อนนึกถึงวันที่ต้องไปแอ่วกัน (ไปศาล) ท่านนั่งข้างหน้า หลวงพ่อนั่งข้างหลังท่าน ก็รำพึงกับท่านบอกว่า วันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระหลวงพ่อทัตตะตอนนั้นท่านจะครบ 65 ปี แต่เราจะต้องมานั่งฟังอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ หลวงพ่อก็ซาบซึ้งในท่าน ถ้าท่านไม่ติดอะไร ท่านก็จะเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วยอย่างนี้ คือท่านจะเป็นทั้งคู่คิด คู่ปรึกษา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ตลอดเวลาเลย

ชีวิตของหลวงพ่อทัตตะท่านถือว่าเป็นชีวิตที่งดงามในเพศสมณะกับงดงามในชีวิตของนักสร้างบารมี สิ่งไม่ดีท่านพยายามเอาออกไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้ว่าอะไรที่เป็นข้อบกพร่องในตัวท่าน จะทางกาย ทางวาจา ทางใจ ท่านจะไม่สั่งสมสิ่งไม่ดี ท่านจะเอาออกเรื่อย ๆ เพราะว่าหลวงพ่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของท่านตลอดเวลา มันใสปิ๊งขึ้นไปเรื่อย ๆ เลยทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจตลอด

ท่านเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของโลกได้เลย

เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อทัตตะบางหลวงพ่อก็มีโคลง บ้าง กลอนบ้าง ตามสไตล์หลวงพ่อที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหลักวิชาในการแต่งโคลงกลอน แต่ก็มีตัวอย่างบางบท อย่างเช่น 21 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2540 ตอนนั้นกำลังเพิ่งหัดแต่ง แต่งกับเด็ก ๆ เด็กเขาแนะนำให้ว่า ต้องแต่งอย่างนี้ ๆ ก็ฝึกกับเขาไปเรื่อย ๆ สนุก ๆ แล้วพอมาถึง 21 ธันวาคม ก็แต่งให้คุณหลวงพ่อทัตตะเลย

ให้หลวงพ่อแก่คล้าย    ธรรมกาย

ยิ่งแก่ยิ่งสุกใส            ยิ่งแก้ว

ความเหี่ยวย่นมลาย       หมดสิ้นไปเฮย

เทศน์ฉ่ำไพเราะแพร้ว      เลิศล้ำกว่าใคร

 หลวงพ่อทัตตะของพวกเรา 

หลวงพ่อธัมมชโย: เมื่อมานึกแล้วก็ยิ่งปลื้มใจว่าท่านใช้ทุกอนุวินาทีตั้งแต่ก่อนบวชกระทั่งบวช ท่านไม่ขาดการสร้างบารมีเลย เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย เดินสายไปต่างประเทศทั่วโลกด้วย ท่านไปทุกหนทุกแห่ง ท่านเหนื่อยมากแต่ท่านก็อดทนในการสร้างบารมี

หลวงพ่อว่านับเป็นบุญของพวกเราแท้ ๆ ที่ได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงพ่อทัตตะซึ่งเป็นช่วงที่ความรู้กับประสบการณ์ของท่านตกผลึกในวัยของท่านขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าท่านจะมีเรี่ยวแรง มีเสียงมาแสดงธรรมให้กับพวกเราอีกมากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้นรีบชิงช่วงให้ดีก่อนที่จะถูกช่วงชิง ทำให้พวกเราพลาด โอกาสในการฟังธรรมจากท่านกัน และควรหาโอกาสที่จะได้บูชาธรรมท่านเพื่อเราจะได้มีส่วนแห่งบุญกับท่านที่ท่านได้อุทิศชีวิตมาสร้างบารมีทำงานพระศาสนา ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาเรื่อยมา จนกระทั่งบัดนี้ เป็นพระเถระ อายุพรรษาก็มาก เป็นพระราชาคณะ เป็นหลวงพ่อทัตตชีโว และเป็นคุณหลวงพ่อทัตตะของพวกเรา

Exit mobile version