วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชาเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในพระพุทธศาสนา และมีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกชน วันนี้เป็นวันที่ชาวพุทธจะมาร่วมกันรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อแสดงความนอบน้อมต่อพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการน้อมนำคำสอนของพระองค์มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อีกทั้งวันวิสาขบูชายังเป็นวันฉลองเหตุการณ์สำคัญ 3 ครั้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร

         พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ “พระนางสิริมหามายา” พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

         ชีวิตของพระองค์ท่านสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน  เมื่อพระองค์เจริญเติบใหญ่  กลับไม่ได้ยึดติดในทรัพย์สินต่างๆที่มีอยู่  แต่กลับรู้สึกถึงความเบื่อหน่ายต่อสิ่งเหล่านั้น  อยากที่จะค้นหาความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน    เกี่ยวกับเรื่องการแก่ เจ็บ ตายนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนได้พบเห็นกันเป็นปกติ  คนทั่วไปก็ไม่ได้คิดอะไร  แต่เมื่อพระองค์ท่านได้พบเห็นแล้ว กลับคิดว่า แม้ตนเอง สักวันหนึ่งก็ต้องแก่ เจ็บ ตายเช่นกัน   นี้คือความทุกข์ ที่ทุกคนต้องประสบกันอยู่ทุกวัน ซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดหาวิธีพ้นทุกข์นี้อย่างแท้จริง    จากนั้นท่านก็ได้เห็นนักบวช  ก็คิดว่า ชีวิตนักบวชนี่สิ  เป็นเส้นทางการแสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อพบสุขที่แท้จริง   จึงได้ตัดสินใจออกบวช  บำเพ็ญเพียรทางจิต  จนได้ตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติและชีวิต   เมื่อท่านตรัสรู้แล้วก็นำเอาความรู้เหล่านั้นมาสั่งสอนให้คนทั่วไปได้รู้ตามไปด้วย  

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นบุคคลต้นแบบ เป็นบุคคลที่มีกำลังใจไม่สิ้นสุด ยอมสละตนเองเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติทุกชีวิตอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน   ตลอดระยะเวลา 45 ปีหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว  ท่านได้ใช้เวลาในการช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์  พบความสุขที่แท้จริง  ตลอดจนให้หลุดพ้นจากการภัยในวัฏฏสงสาร

 

       เมื่อเห็นดังนั้นพระเจ้าสุทโธทนะก็รู้สึกปลาบปลื้มใจและแสดงความเคารพพระกุมารเช่นกัน ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะได้เชิญ พราหมณ์ 8 ท่านมาพยากรณ์ดวงชะตาของพระกุมาร พราหมณ์ทั้ง 7 ได้ทำนายว่าหากพระกุมารปรารถนาราชบัลลังก์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ แต่หากทรงตัดสินพระทัยออกผนวชพระองค์จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม พราหมณ์โกณฑัญญะผู้อ่อนวัยที่สุดได้พยากรณ์ว่าพระกุมารจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันประสูติ

เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ถึงกำหนดให้การประสูติพระโอรส พระนางได้เสด็จกลับเมืองเทวทหะบ้านเกิดของพระองค์เพื่อให้การประสูติตามพระราชประเพณี ในการเดินทางอันยาวไกลนั้น พระนางได้หยุดพักใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินี ขณะที่พระองค์กำลังยืนและจับกิ่งสาละอยู่นั้น พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส วันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือน 6  80 ปีก่อนพุทธกาล เมื่อพระโอรสมีพระชนมายุได้ 5 วัน พระองค์ได้รับพระราชทานพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว

ข่าวการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งความถึงอสิตะดาบสผู้เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ อสิตะดาบสขอเข้าเยี่ยมพระกุมาร เมื่อดาบสเห็นพระกุมารก็ได้ทำนายว่าพระกุมารจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สั่งสอนหนทางแห่งความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร หลังจากทำนายพระกุมาร อสิตะดาบสได้แสดงความเคารพที่พระบาทของพระกุมาร

ปรินิพพาน

หลังจากตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้ทรงสั่งสอนผู้คนเรื่องธรรมชาติของโลก หรือ ธรรมะ ยาวนานกว่า 45 ปี กระทั่งทรงมีพระชนมายุได้  80 พรรษา ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ในขณะที่พระองค์ทรงประทับในเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ทรงประทานปัจฉิมโอวาท   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”  จากนั้นก็ทรงปรินิพพานในคืนวันเพ็ญเดือนหกนั้นเอง  สถานที่ปรินิพพานของพระองค์ตั้งอยู่ที่เมือง กุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย

คุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่กล่าวสรรเสริญตลอดระยะเวลาอันยาวนานและยังคงสรรเสริญสืบต่อๆ กันไป ตราบกาลนานนั้น  ได้แก่

        พระปัญญาธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระปัญญารอบรู้ถึงความจริงแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร ก็ทรงทราบชัดถึงความจริงเหล่านั้น และนำความจริงเหล่านั้นมาเปิดเผยชี้แจงแสดงแก่โลก ตามพื้นเพแห่งอัธยาศัยของบุคคลเหล่านั้น

        พระบริสุทธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด จากอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ไม่มีความขุ่นมัวเศร้าหมองภายในพระทัยทรงดำรงอยู่อย่างคงที่ ไม่แปรผัน ท่ามกลางอารมณ์ที่กระแทกกระทั้นจากภายนอก ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแต่พระทัยของพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์อยู่มั่นคงอยู่อย่างนั้นไม่แปรผัน

        พระมหากรุณาธิคุณ คือ ทรงกอปรด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทรงเลือกชาติชั้นวรรณะแต่ประการใด แม้แต่ในศีลของพระองค์ก็ทรงบัญญัติให้คนงดเว้นไม่ทำสิ่งมีชีวิตให้ตกล่วงไป และทรงแนะให้แผ่เมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข

 คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้สามารถสรุปลงได้ 3 ประการ ด้วยกัน คือ 

  1. ละการกระทำบาปทั้งปวงเสีย
  2. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม
  3. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจรด

            ความรู้เหล่านี้  ปัญญาของพระองค์ท่านเป็นปัญญาระดับที่ไม่สามารถหยั่งรู้ด้วยการคิดหรือจินตนาการเลย  แต่เป็นปัญญาที่ได้มาจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งเรียกว่า ภาวนามยปัญญา   ซึ่งธรรมะที่พระองค์ท่านนำมาสั่งสอนแก่ชาวโลกนั้น  ไม่จำกัดกาลเวลา  และสถานที่   ไม่จำกัดว่าจะเป็นใคร เพศ ภาวะใด หรือนับถือศาสนาใดก็ตาม   หากผู้นั้นดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ถูกต้อง  และมีความตั้งใจปฏิบัติธรรมตามวิธีที่ถูกต้อง  ผู้นั้นก็จะสามารถที่จะบรรลุธรรมตามพระองค์ได้  

            ดังนั้นคำสอนและพุทธจริยาวัตรในทุกๆวันที่พระองค์ท่านทำมาโดยตลอดนั้นเป็นบทพิสูจน์ว่า   พระโคดมพุทธเจ้า ท่านเป็น “บรมครู” ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

หลักธรรมที่สำคัญที่ควรนำมาปฏิบัติ

ในวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติ ได้แก่

  1. ความกตัญญู

คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ

ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

  1. อริยสัจ 4

คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่

ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือความยากจน เป็นต้น

สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก “ตัณหา” อันได้แก่ ความอยากได้ต่าง ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้

มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ

  1. ความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท คือการมีสติกำกับตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใดๆ ไม่ยอมถลำลงไปในทางที่เสื่อม และไม่ยอมพลาดโอกาสในการทำความดี ตระหนักดีถึงสิ่งที่ต้องทำ ถึงกรรมที่ต้องเว้น ใส่ใจสำนึกอยู่เสมอในหน้าที่ ไม่ปล่อยปละละเลย กระทำอย่างจริงจังและดำเนินรุดหน้าตลอดเวลา

            ความไม่ประมาทเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง กล่าวได้ว่าคำสอนในพระ-พุทธศาสนาทั้งหมด เมื่อสรุปแล้วก็คือคำสอนให้เราไม่ประมาท ดังจะเห็นได้จากปัจฉิมโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ

            “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

วันวิสาขบูชากับองค์การสหประชาชาติ

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสหประชาชาติได้มีมติให้วันวิสาขบูชา หรือที่รู้จักกันในประเทศศรีลังกาว่าวันวิสาขะซึ่งเป็นวันสากลของโลก ศรีลังกาเป็นสมาชิกหลักขององค์กรที่ร้องขอให้สหประชาชาติพิจารณาให้วันวิสาขบูชาเป็นวันพิเศษ เพื่อให้วันนี้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ให้ทุกคนได้ร่วมกันทำความดีเพื่อน้อมรำลึกถึงวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน เป็นเสมือนการแสดงความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงสนับสนุนให้ทุกศาสนาทดลองปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง โดยมิต้องละทิ้งความเชื่อเก่าของตน พระองค์ทรงสั่งสอนและเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน

ข้อความสำคัญจากเลขาธิการสหประชาชาติคนที่ 5 คือ ฯพณฯ จาเวียร์ เปเรซ เดอ ซูเอลลาห์ (พ.ศ. 2525- พ.ศ. 2534)  เนื่องในวันวิสาขบูชาสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกๆ ท่านในปี พ.ศ. 2529 ดังนี้

สำหรับพุทธศาสนิกชนทุกๆ ท่านในทุกๆ สถานที่ โอกาสวันวิสาขบูชานี้เป็นมงคลอย่างยิ่งที่พวกเราจะได้น้อมระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะได้ระลึกถึงความเมตตากรุณาอันไม่มีประมาณต่อมวลมนุษยชาติ ความรักและความเมตตานี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์ทุกๆ คนบนโลก

ข้อความสำคัญจากเลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบันคือ ฯพณฯ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส

ผมขอส่งความปรารถนาดีให้กับทุกๆท่านในวันวิสาขบูชาในปีนี้ ซึ่งเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชนหลายล้านคนทั่วโลก และเป็นวันที่เราได้ระลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มนุษยชาติได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของพระพุทธองค์และในกาลเวลาแห่งโรคระบาดโควิด 19 นี้ ทำให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า “เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนไปสู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันก็ป่วยเช่นกันเป็นธรรมดา” เป็นข้อความที่เป็นจริงอยู่เสมอ และทำให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงความสามัคคี และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าหากมนุษย์ได้ร่วมมือร่วมใจกันอย่างแท้จริง เราจะสามารถหยุดยั้งโรคระบาดนี้ได้   ในวัน  วิสาขบูชาปีนี้ ขอให้พวกเราได้มานึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่จะปฏิบัติตนต่อกันด้วยความรักและความเมตตา และมาช่วยกันสร้างโลกใบนี้ให้มีสันติภาพและสันติสุขต่อไป

วันวิสาขบูชาและสันติภาพโลก

เพื่อเป็นการระลึกถึงมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านแนะนำสั่งสอนความรู้วิชชาชีวิตให้แก่มหาชน เมื่อคนเหล่านั้นนำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสืบทอดคำสอนอันดีงามนี้รุ่นต่อรุ่นจนมาถึงปัจจุบัน  ในวันวิสาขบูชานี้พวกเราชาวพุทธทั่วทั้งโลก ต่างพร้อมใจกันมาสร้างสันติภาพโลก ด้วยการสร้างความดีตามหลักการที่พระพุทธองค์ท่านสอนคือ  ทำใจให้ผ่องใส ด้วยการนั่งสมาธิทำใจให้หยุดนิ่ง

ขณะที่ทุกคนนั่งสมาธิ ทำใจหยุดใจนิ่งดีแล้ว จะเป็นผลให้ผู้ทำสมาธิเองนั้นได้สัมผัสถึงความสุขภายใน  ซึ่งเป็นความสุขที่ไม่ต้องเอื้อม หรือไขว่คว้าหาจากภายนอก  และถ้าพวกเราแต่ละคนที่อยู่ ณ สถานที่ต่างๆ เมืองต่างๆ ประเทศต่างๆทั่วโลกนั่งสมาธิ ใจหยุดนิ่งพร้อมกัน  พลังใจที่หยุดนิ่งนี้จะเป็นพลังมวลความบริสุทธิ์ และความสุขเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ของทุกคน  แผ่ขยายออกจากตัวเราผู้นั่งสมาธิทุกคน  ณ เวลานั้นเราทุกคนจะเปรียบเสมือนแม่เหล็กแห่งความสุข สามารถดึงดูดสิ่งดีๆ  และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนบุคคลรอบข้างของเรา เช่น คนในครอบครัว บริษัท โรงเรียน ที่ทำงาน สังคม ตลอดจนถึงคนทั้งเมือง ประเทศ และทั่วโลก ให้ทุกคนมีกระแสแห่งความสุขเกิดขึ้นภายในใจของเขาเหล่านั้น 

กิจกรรมที่วัดพระธรรมกายในวันวิสาขบูชา

ในทุกๆปี วัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกายจะจัดกิจกรรมตลอดทั้งวัน เพื่อรำลึกนึกถึงคุณธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมหากรุณาที่มีต่อเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย   โดยในภาคเช้าและบ่ายจัดให้มีกิจกรรมทำทาน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญสมาธิภาวนา  และในภาคค่ำ คณะพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร และสาธุชนนับแสนคน ในเวลาเดียวกัน ร่วมกิจกรรมจากสถานที่ต่างๆทั่วทั้งโลก  โดยการส่งใจ ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นซูม ซึ่งภาพและเสียงของทุกคนจะมาปรากฏที่หน้าจอขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าของพระมหาธรรมกายเจดีย์ ซึ่งบนเจดีย์และภายในเจดีย์มีองค์พระปฏิมากร  เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 1 ล้านองค์

ทุกท่านพร้อมใจกันสวดมนต์บทธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ซึ่งเป็นธรรมะบทแรกที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนครั้งแรก เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เริ่มต้นจนเข้าถึงความสุขภายในที่แท้จริง  และร่วมกันจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นก็จะได้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม อธิษฐานจิต และแผ่เมตตา   ให้พลังแห่งความปรารถนาดีจากใจของเราทุกคนที่แผ่ออกมา ณ เวลาเดียวกันนี้ ช่วยกันกลั่นโลกของเราให้บริสุทธิ์ขึ้น และขอให้ทุกๆคนบนโลกนี้พ้นจากความทุกข์ พบแต่ความสุขโดยเร็วพลัน

กำหนดการวันวิสาขบูชา 15 พ.ค. 2565

ร่วมจุดประทีป และนั่งสมาธิพร้อมกันทั่วโลก
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565
ณ วัดพระธรรมกาย

 

9:30-11:00 น.       นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม   

———————–

15:45-16:15 น.     นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม   

———————–

19:00 น.       บูชาพระรัตนตรัย / กล่าวคำถวายประทีปเป็นพุทธบูชา / จุดประทีปโคมเอก

                     นั่งสมาธิปฏิบัติธรรม

19:30 น.       คณะสงฆ์ทั่วโลกเจริญพระพุทธมนต์ผ่าน ZOOM

20:20 น.       อธิษฐานจิต / แผ่เมตตา

20:30 น.       เสร็จพิธี

———————–

พิธีฉลองชัยสวดมนต์บทธัมมจักร 4,363,000,000 จบ

Exit mobile version