คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

ชีวิตช่วงวัยเด็ก

พ.ศ.๒๔๕๒ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๒ ตรงกับ วันพุธ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา อำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้องชายหญิงทั้งหมด ๙ คน ของพ่อพลอยและแม่พัน ขนนกยูง

ท่านไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะในสมัยนั้นไม่นิยมให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือ ทำให้ไม่สามารถอ่านเขียนได้

ครอบครัวคุณพ่อคุณแม่เป็นชาวนาที่มีฐานะปานกลาง ไม่เป็นหนี้สินใคร

คุณยายช่วยพ่อแม่ดูแลงานบ้านและทำนา ท่านเป็นคนขยันขันแข็งมาก ตื่นตั้งแต่ตี ๓ ตี ๔ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนเพื่อนๆให้สมญานามว่า “แข้งเหล็ก” ด้วยความที่คุณยายต้องแบกรับภาระเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวในการทำนา หล่อหลอมให้ท่านเป็นคนที่แข็งแกร่งและอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างบารมีของท่านในเวลาต่อมา

มารดาของคุณยายมีฐานะดีกว่าบิดา แต่ด้วยเหตุที่บิดาติดสุรา จึงมักทะเลาะกับมารดาอยู่เสมอ พอมึนเมามักบ่นพึมพำ มารดารู้สึกรำคาญ จึงตะโกนออกไปว่า “ไอ้นกกระจอก อาศัยรังเขาอยู่”  เมื่อบิดาของคุณยายได้ยินก็โกรธจัด จึงถามลูกๆว่าได้ยินที่แม่ด่าว่าพ่อไหม คุณยายไม่อยากให้พ่อแม่ทะเลาะกัน จึงกล่าวว่า แม่กล่าวเช่นนั้นคงไม่ได้หมายถึงพ่อ ทำให้บิดาโกรธมากจึงแช่งว่า “ขอให้หูหนวก ๕๐๐ ชาติ” คำนี้ทำให้คุณยายกลัวมาก เพราะเชื่อว่าคำพูดของพ่อแม่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ หากแช่งลูกอย่างไรย่อมจะเป็นเช่นนั้น

คุณพ่อเสียชีวิต พ.ศ.๒๔๖๔ คุณพ่อของคุณยายได้เสียชีวิต เป็นเวลาเดียวกับที่คุณยายกำลังดูแลแปลงนา เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทราบข่าวแล้วรู้สึกเสียใจมาก เนื่องจากยังไม่ได้ขอขมาพ่อก่อนท่านตาย ความรู้สึกกลัวคำแช่งของบิดาจึงยังคงติดค้างอยู่ในใจของคุณยายตลอดมา (คุณยายอายุ ๑๒ ปี)
รู้ข่าวเกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

พ.ศ.๒๔๗๐ มีข่าวร่ำลือว่า หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หรือพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สามารถสอนคนให้เข้าถึงธรรมกายได้ และเมื่อเข้าถึงแล้วสามารถไปนรก สวรรค์ ไปนิพพานได้ ไปพบพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้วก็ได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณยายปรารถนาที่จะศึกษาวิธีการนั่งสมาธิ จะได้ไปขอขมาพ่อในปรโลกเพื่อให้ตนไม่ต้องหูหนวกในชาติต่อๆไป ท่านจึงได้ตั้งความปรารถนาว่าจะต้องไปพบหลวงปู่วัดปากน้ำให้ได้ นับแต่นั้นมาจึงได้เริ่มถือศีล ๕ เป็นปกติ และรอคอยจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร (คุณยายอายุ ๑๘ ปี)

ไปกรุงเทพ เพื่อหาทางกราบพบหลวงปู่

ปี พ.ศ. ๒๔๗๘  คุณยายตัดสินใจลาแม่และพี่น้อง เพื่อจะหาหนทางไปพบหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยมอบทรัพย์สมบัติ ได้แก่ที่ดินที่เป็นส่วนของท่านให้กับพระน้องชาย และแก้วแหวนเงินทองทั้งหมดยกให้กับพี่น้อง (คุณยายอายุ ๒๖ ปี)

หลังจากคุณยายมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯแล้ว ได้สืบทราบว่าที่บ้านคุณนายเลี้ยบ สิกาญจนานันท์ เศรษฐีย่านสะพานหัน เป็นอุปัฏฐากคนสำคัญที่ไปทำบุญที่วัดปากน้ำ เป็นประจำตลอดระยะเวลายาวนานถึง ๒๐ ปี

แม้ว่าครอบครัวของคุณยายจะมีฐานะพอจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย เป็นที่ยอมรับของคนทั้งหมู่บ้าน แต่คุณยายปล่อยวางทุกสิ่งยอมตนไปสมัครเป็นคนรับใช้บ้านคุณนายเลี้ยบ ก็เพื่ออาศัยกรุยทางไปวัดปากน้ำ จะได้มีโอกาสแสวงหาธรรมะและตามหาพ่อดังที่ตั้งใจไว้

หลังจากสมัครเข้าเป็นคนรับใช้ในบ้านคุณนายเลี้ยบแล้ว ท่านได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ จัดการงานเป็นอย่างดีจนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของบ้านให้ดูแลห้องเก็บทรัพย์สมบัติ

เข้าถึงธรรมกาย ช่วยพ่อพ้นนรก ได้ขอขมาพ่อ

คุณนายเลี้ยบได้เชิญคุณยายทองสุก สำแดงปั้น ผู้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาสอนธรรมะที่บ้าน คุณยายจึงหาโอกาสเข้าไปปฏิบัติรับใช้คุณยายทองสุกเป็นอย่างดี จนคุณยายทองสุกรู้สึกเมตตาจนได้ขออนุญาตเจ้าของบ้านให้คุณยายมาเรียนนั่งสมาธิด้วย ดังนั้นทุกๆวันคุณยายจะรีบทำงานบ้านให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อหาโอกาสไปนั่งปฏิบัติธรรม คุณยายปฏิบัติธรรมด้วยความตั้งใจจริง จนเข้าถึงธรรมกาย และเมื่ออาศัยพระธรรมกายเดินฌานสมาบัติจนชำนาญแล้ว คุณยายทองสุกจึงสอนให้คุณยายไปหาพ่อด้วยการใช้วิชชาธรรมกาย คุณยายได้เอาบุญที่เข้าถึงธรรมกายช่วยพ่อให้พ้นจากนรก และได้มีโอกาสขอขมาพ่อในคราวนั้น

กราบพบหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นครั้งแรก

ปี พ.ศ. ๒๔๘๑  คุณยายขออนุญาตคุณนายเลี้ยบมาปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำหนึ่งเดือน คุณยายทองสุก พาคุณยายไปกราบพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่วัดปากนั้า ภาษีเจริญ เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสกราบ แต่หลวงปู่เห็นก็ทักขึ้นว่า “มึงมันมาช้าไป” ที่ท่านทักอย่างนี้ก็เพราะท่านรอคอยมานานแล้วว่า ผู้ที่มีพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้นั้น เมื่อไรจะมาสักที แล้วท่านก็ส่งคุณยายเข้าโรงงานทำวิชชา (ห้องปฏิบัติธรรมเพื่อศึกษาวิชชาธรรมกายชั้นสูง) ทันที โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนในการทดสอบและคัดสรรใดๆ ทั้งสิ้น (คุณยายอายุ ๒๙ ปี)

บวชเป็นอุบาสิกาแม่ชีและปฏิบัติธรรม

เมื่อมาอยู่วัดปากน้ำครบหนึ่งเดือน คุณยายได้บวชเป็นอุบาสิกาแม่ชี พร้อมกับคุณยายทองสุก สำแดงปั้น

คุณยายมีกิจวัตรคล้ายๆ กันทุกวันเป็นเวลาหลายสิบปี ในแต่ละวันเส้นทางเดินมีเพียงสถานที่พัก หอฉัน และโรงงานทำวิชชา ท่านทุ่มเทชีวิตศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยวิชชาธรรมกาย โดยทำหน้าที่ปฏิบัติธรรมสองช่วงเวลาในโรงงานทำวิชชา ท่านเป็นผู้ที่รักษาใจหยุดนิ่งมีใจเกาะเกี่ยวอยู่กับธรรมะตลอดเวลาและในทุกอิริยาบถ ทั้งในขณะอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ทานอาหาร เป็นต้น

 “ลูกจันทร์นี่ หนึ่งไม่มีสอง”

ปีพ.ศ.๒๔๘๔ ประมาณกลางเดือนธันวาคม การนั่งปฏิบัติธรรมศึกษาวิชชาธรรมกายชั้นสูงในสมัยสงครามโลกนั้น จะนั่งสมาธิติดต่อกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นผลัด ผลัดละ ๖ ชั่วโมง คุณยายท่านนั่งสมาธิต่อเนื่องนาน ๖ ชั่วโมงในเวลากลางวัน และนั่งสมาธิอีก ๖ ชั่วโมงต่อเนื่องของกะเวลากลางคืน ด้วยความตั้งใจจริงของคุณยาย ทำให้ท่านศึกษาวิชชาธรรมกายได้อย่างเชี่ยวชาญ จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าผลัด ท่านทำหน้าที่ด้วยความเพียรยิ่งกว่าใคร ถึงแม้จะหมดหน้าที่ในผลัดของตนแล้ว ท่านก็ยังนั่งร่วมกับผลัดต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อรอรับความรู้จากหลวงปู่วัดปากน้ำที่จะถ่ายทอดให้หัวหน้าผลัดคนต่อไป จากนั้นท่านจึงจะไปพัก เป็นเช่นนี้โดยสม่ำเสมอ ทำให้ญาณทัสสนะของคุณยายแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าหลวงปู่วัดปากน้ำจะสั่งอะไรหรือซักถามอะไรก็ตาม คุณยายก็สามารถทำได้ตามนั้นและตอบคำถามได้ตรงถูกต้องทุกประการ

ในการทำวิชชาธรรมกายนั้น คุณยายท่านยืนยันว่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการคิดค้นด้นเดา ท่านบอกว่าต้องเห็นชัดยิ่งกว่าลืมตา ถ้าไม่เห็นก็ตอบไม่ได้ เป็นการเห็นโดยใช้เลนส์ใจขยาย คือเห็นได้รอบตัว รู้ได้รอบตัว เป็นการเห็นที่เหนือกว่าการเห็นแบบมนุษย์ปุถุชนที่มีข้อจำกัด ต้องฝึกฝนด้วยความเพียรทำให้เกิดขึ้นได้

การเอาใจใส่ต่อการทำวิชชาธรรมกาย จรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายอยู่ตลอดเวลา ความเป็นคนทำอะไรทำจริง ท่านจึงเชี่ยวชาญและแม่นยำ  จนกระทั่งได้รับคำชมจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ประกาศในท่ามกลางกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกันว่า “ลูกจันทร์นี่ หนึ่งไม่มีสอง”

หลวงปู่เรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด

ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้เรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด เพื่อประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่า อีก ๕ ปี ท่านจะมรณภาพ และให้ลูกศิษย์ช่วยกันเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก เนื่องจากวิชชานี้สามารถช่วยคนทั้งโลกได้ จึงมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก (คุณยายอายุ ๔๕ ปี)

ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงปู่วัดปากน้ำมรณภาพลง เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๒ เวลาบ่าย ๓โมงเศษ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาบรรดาลูกศิษย์นักปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายชั้นสูงทั้งหลาย ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ส่วนคุณยายยังคงอาศัยอยู่กับคุณยายทองสุกที่บ้าน ๓ ชั้น ในวัดปากน้ำ ปฏิบัติกิจเจริญภาวนา และช่วยปรนนิบัติดูแลคุณยายทองสุกเช่นเดิม (คุณยายอายุ ๕๐ ปี)

คุณยายทองสุก สำแดงปั้น ล้มป่วยและละสังขาร

ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ คุณยายทองสุกล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งมดลูกระยะสุดท้าย สมัยนั้นนอกจากจะไม่มียาดีที่รักษาให้หายแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นรุนแรงเป็นที่น่ารังเกียจ แต่คุณยายไม่เคยรู้สึกหรือแสดงท่าทีรังเกียจคุณยายทองสุกเลยแม้สักครั้ง กลับขยันหมั่นทำความสะอาด เช็ดถูตัว ซักเสื้อผ้าให้คุณยายทองสุกจนสะอาดสะอ้าน นำน้ำอบไทยมาพรมดับกลิ่นให้ เพื่อที่ว่าในเวลาที่ลูกศิษย์ของคุณยายทองสุกที่มีอยู่ทั่วประเทศมาเยี่ยม จะได้ไม่มีกลิ่นอันอาจเป็นเหตุให้ศิษย์เหล่านั้นรังเกียจ คุณยายดูแลปรนนิบัติคุณยายทองสุกอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งคุณยายทองสุกสิ้นชีวิต (คุณยายอายุ ๕๑ ปี)

คุณยายพบศิษย์เอก 

คุณยายระลึกถึงคำสั่งของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ให้เผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก ทำให้คุณยายต้องแสวงหาและรอคอยผู้ที่จะมาทำหน้าที่สืบทอดและเผยแผ่วิชชาธรรมกายตามที่หลวงปู่วัดปากน้ำสั่งไว้

ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงพ่อธัมมชโย (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) ขณะนั้นยังเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ได้เข้ากราบฝากตัวเป็นศิษย์ของคุณยาย มีความสนใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากจึงมาขอเรียนธรรมปฏิบัติ มีผลการปฏิบัติธรรมดีเยี่ยมในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายจากท่านเพิ่มเติม (คุณยายอายุ ๕๔ ปี)

ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ นายเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ ปัจจุบันคือ หลวงพ่อทัตตชีโว ได้พบกับหลวงพ่อธัมมชโย โดยส่วนตัวของหลวงพ่อทัตตชีโวมีความสนใจในเรื่องนรก สวรรค์ อยู่แล้ว จึงอยากจะไปพบคุณยาย หลวงพ่อธัมมชโยได้พากราบคุณยาย ท่านก็รับหลวงพ่อทัตตชีโวเป็นศิษย์อีกคนหนึ่ง ทั้งสองท่านได้ชักชวนเพื่อนนิสิตทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง มาปฏิบัติธรรมกับคุณยายเป็นจำนวนมาก (คุณยายอายุ ๕๗ ปี)

บ้านธรรมประสิทธิ์

ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ บ้านหลังเล็กที่คุณยายพักอาศัยมากว่า ๒๐ ปีมีความทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่มีคนมานั่งสมาธิเต็มบ้าน บางวันล้นบ้านออกมาด้านนอก โดยเฉพาะวันอาทิตย์ต้นเดือน (คุณยายอายุ ๕๘ ปี)

บรรดาศิษยานุศิษย์จึงหารือกันเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณยาย หลวงพ่อธัมมชโยในสมัยเป็นนิสิตอยู่นั้นได้เป็นต้นบุญรวบรวมปัจจัยสร้างบ้านหลังใหม่ พระภาวนาโกศลเถร (หลวงพ่อเล็ก) รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำในขณะนั้น เมตตาตั้งชื่อให้ว่า “บ้านธรรมประสิทธิ์”เป็นบ้านไม้สองชั้น อยู่ภายในบริเวณวัดปากน้ำทางด้านเหนือ สร้างเสร็จได้ถวายให้กับวัดปากน้ำ  บ้านหลังนี้อยู่ไม่ห่างจากบ้านหลังเดิม

ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์มีเหตุการณ์คล้ายๆ บ้านเล็กหลังเดิมคือ มีคนมาปฏิบัติธรรมกันจนเต็มบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันอาทิตย์ต้นเดือน ตั้งแต่ชั้นบนเรื่อยลงมาถึงบันได ชั้นล่างเรื่อยไปจนถึงสนามหญ้าหน้าบ้านตลอดจนทางเดินไปถึงประตูรั้ว ทั่วบริเวณเนื่องแน่นไปด้วยผู้คนที่มาปฏิบัติธรรม (คุณยายอายุ ๕๙ ปี)

หลวงพ่อธัมมชโยอุปสมบท

ปี พ.ศ. ๒๕๑๒  หลังจากหลวงพ่อธัมมชโยจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณยายเห็นว่าท่านมีความรู้ทางโลกอย่างที่กำหนดไว้แล้ว และควรที่จะมีความรู้ทางธรรมทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ จึงปรึกษาหารือกันว่า ควรจะบวชในพรรษานี้ เมื่อหลวงพ่อได้ตัดสินใจแล้ว ในวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙  หลวงพ่อธัมมชโยจึงได้บวช ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยมีพระเทพวรเวที (ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่ปรึกษามหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีฉายาว่า “ธัมมชโย” แปลว่า “ผู้มีชัยชนะด้วยธรรม” (คุณยายอายุ ๖๐ ปี)

ดำริที่จะสร้างวัด

ปี พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งอยู่ในช่วงพรรษาแรกของการเป็นพระภิกษุ ได้ปรารภกับคุณยายถึงการสร้างสถานที่แห่งใหม่อันเหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมและเผยแผ่วิชชาธรรมกายสืบต่อไป ประกอบกับความตั้งใจของคุณยายที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางตามที่หลวงปู่วัดปากน้ำได้มอบหมายไว้ คุณยายจึงมีดำริที่จะสร้างวัด (คุณยายอายุ ๖๐ ปี)

ปี พ.ศ.๒๕๑๒ คุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี ได้ยกที่ดิน ๑๙๖ไร่ ๙ ตารางวา ณ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้เป็นที่สร้างวัด (คุณยายอายุ ๖๐ ปี)

หลวงพ่อทัตตชีโวตั้งสัจจะประพฤติพรหมจรรย์

ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ในช่วงต้นปี หลวงพ่อทัตตชีโวได้ตั้งสัจจะประพฤติพรหมจรรย์ และ คุณยายมอบหมายให้หลวงพ่อทัตตชีโว (ขณะนั้นยังมิได้บวช) ไปดูแลรักษาที่ดิน ๑๙๖ ไร่ และดูแลงานการก่อสร้างวัด ส่วนหลวงพ่อธัมมชโยกับคุณยายทำหน้าที่บอกบุญสร้างวัด และสอนธรรมปฏิบัติอยู่ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ กองทุนเริ่มต้นในการสร้างวัดตอนนั้นมีเพียง ๓,๒๐๐บาท (คุณยายอายุ ๖๑ ปี)

เริ่มสร้างศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม

ปี พ.ศ.๒๕๑๓  ในวันมาฆบูชาที่ ๒๐ กุมภาพันธ์  หลวงพ่อธัมมชโย คุณยายและศิษยานุศิษย์ ได้ร่วมแรงร่วมใจกันขุดดินก้อนแรก ก่อสร้างพุทธจักรปฏิบัติธรรมขึ้น ตอนนั้นยังไม่เป็นวัด เรียกชื่อเป็น “ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม” โดยคุณยายท่านสร้างขึ้นพร้อมกับให้การส่งเสริมหลวงพ่อและหมู่คณะในทุกๆ ด้านเพื่อให้งานสร้างวัดประสบความสำเร็จ นับตั้งแต่นั้นมา  (คุณยายอายุ ๖๑ ปี)

หลวงพ่อทัตตชีโวอุปสมบท

ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงพ่อทัตตชีโวได้บวชที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ และเมื่อบวชได้เพียงสัปดาห์เดียว คุณยายก็เริ่มฝึกให้เทศนา (คุณยายอายุ ๖๒ ปี)

โครงการอบรมธรรมทายาทรุ่นที่ ๑

ปี พ.ศ.๒๕๑๕ หลวงพ่อธัมมชโยมีดำริที่จะอบรมสั่งสอนธรรมะทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้เพื่อมุ่งพัฒนาจิตใจอันเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เจริญก้าวหน้าต่อไป นอกจากนี้คุณยายก็ยังมุ่งหวังว่า บุคคลกลุ่มนี้จะเป็นกำลังในการเผยแผ่วิชชาธรรมกาย ตามที่คุณยายได้รับปากหลวงปู่วัดปากน้ำไว้ ดังนั้น โครงการอบรมธรรมทายาท และอุปสมบทหมู่ จึงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ มีนิสิตนักศึกษาเข้าอบรมทั้งสิ้น ๖๐ คน ท่ามกลางคูน้ำและคันดินที่เพิ่งถูกพลิกฟื้นขึ้นมา โดยยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ แม้แต่โรงทานหรือ ศาลาปฏิบัติธรรม (คุณยายอายุ ๖๓ ปี)

คุณยายสอนปฏิบัติธรรมวันธรรมดา,วันเสาร์อาทิตย์ช่วยดูแลการสร้างวัด

ปี ๒๕๑๓-๒๕๑๗ คุณยายพักอยู่ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโยอยู่ที่วัดปากน้ำ วันธรรมดาทั้งสองท่านจะสอนปฏิบัติธรรมที่บ้านธรรมประสิทธิ์ วันเสาร์อาทิตย์จะไปช่วยดูแลการก่อสร้างวัดในที่ดิน ๑๙๖ไร่

ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ หลังจากออกพรรษา พระภิกษุลูกศิษย์ของคุณยาย เฉพาะที่ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างวัด ได้ย้ายจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาอยู่ที่ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม เป็นการถาวร คุณยายยังคงอยู่ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ คอยเก็บรวบรวมเสบียงส่งมาให้ (คุณยายอายุ ๖๔ ปี)

คุณยายมาอยู่ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม

ปี พ.ศ.๒๕๑๘ ต่อมาคุณยายก็ย้ายจากบ้านธรรมประสิทธิ์ วัดปากน้ำ มาอยู่ถาวรที่ศูนย์พุทธจักรฯ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ค. ๒๕๑๘ ท่านก็เริ่มวางระเบียบวินัย โดยคุณยายเริ่มให้ก่อสร้างกำแพงให้แข็งแรงรอบ ๑๙๖ ไร่เป็นอันดับแรก โดยบอกว่า สร้างกำแพงกันกิเลส กันคนพาล จากนั้นท่านก็เริ่มวางระเบียบวินัยภายในวัดด้วยตนเองทั้งหมด โดยนำประสบการณ์ในสมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่วัดปากน้ำมาใช้ ให้เขียนป้ายกฎระเบียบบนกระดานติดไว้ที่ข้างอาคาร (ปัจจุบันคือป้ายกฎระเบียบที่ติดอยู่ที่อาคารดาวดึงส์) ให้ทุกคนอ่าน ท่านเริ่มวางแนวทางปฏิบัติหลาย ๆ อย่าง ให้มีหลักเกณฑ์ขึ้น ทำให้ทุกคนมีการทำงานที่เป็นแบบแผนขึ้นเป็นลำดับ

การดำเนินการสร้างวัดได้เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ มีศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรมและมีกุฏิ เนื่องจากวัดเพิ่งจะสร้างใหม่ๆ คุณยายจึงให้ข้อคิดว่า “พระเพิ่งบวชใหม่ การที่จะเทศน์อะไรให้ลึกซึ้ง คงยังทำกันไม่ได้ ที่พอจะทำได้ คือ เป็นต้นแบบดีๆให้ญาติโยมดู แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม… ให้จัดทุกอย่างในวัดให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นการวางรองเท้า ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ถังขยะ ทุกอย่างในชีวิตประจำวันจัดให้เรียบร้อย ซึ่งนอกจากจะทำให้ใจเราเองสงบแล้ว แม้ญาติโยมมาวัดไม่ได้ฟังเทศน์ แต่ได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะได้เห็นแบบอย่างที่ดีและได้ความสบายใจกลับไป”

เปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระธรรมกาย

ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม” มาเป็น “วัดพระธรรมกาย” (คุณยายอายุ ๗๒ ปี)

พื้นที่ ๒,๐๐๐ไร่และสภาธรรมกายสากล (ศาลาเอนกประสงค์)

ประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๒๘ เมื่อมีคนมาปฏิบัติธรรมมากขึ้นทำให้ศาลาฟังธรรมที่อยู่ในพื้นที่เดิม ๑๙๖ ไร่ ไม่เพียงพอที่จะรองรับสาธุชน หลวงพ่อธัมมชโย คุณยายอาจารย์ และมูลนิธิธรรมกายได้ร่วมกับสาธุชนซื้อที่ดินเนื้อที่ ๒,๐๐๐ ไร่เศษ จากกองมรดกของ ม.ร.ว.สุวพันธ์ สนิทวงศ์ เพื่อจัดสร้างเป็นศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติธรรม เริ่มสร้างศาลาปฏิบัติธรรมหลังใหม่ข้างๆ กำแพงวัดในพื้นที่สองพันไร่ เป็นหลังคามุงจาก พื้นที่นั่งปูกระเบื้องคอนกรีตแผ่นเรียบชื่อว่า สภาธรรมกายสากล สามารถรองรับสาธุชนได้ ๑๒,๐๐๐ คน (คุณยายอายุ ๗๖ ปี)

ต่อมาสาธุชนเดินทางมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สภาธรรมกายสากลหลังคาจาก มีพื้นที่นั่งและพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอ ต้องเช่าเต็นท์หลายแห่งรอบๆ ศูนย์กลางพิธีกรรมใหญ่ หรือการจัดกิจกรรมเพื่อปฏิบัติธรรมและอบรมการสอนศีลธรรม ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ มูลนิธิธรรมกายและสาธุชนได้ร่วมมือร่วมใจกันก่อสร้างสภาธรรมกายสากลขนาดใหญ่ เป็นศาลาเอนกประสงค์ถาวรสองชั้น บนเนื้อที่ ๒๕๐ไร่เศษ ซึ่งอยู่ในพื้นที่สองพันไร่สามารถรองรับสาธุชนได้ ๓๐๐,๐๐๐คน ชั้นที่หนึ่งใช้เป็นที่จอดรถยนต์ได้กว่า ๑๐,๐๐๐คัน  มีห้องประชุมหลายห้อง และมีห้องน้ำอำนวยความสะดวกรายรอบทุกทิศ

คุณยายเป็นประธานกฐินสามัคคีครั้งแรก

ปี พ.ศ.๒๕๓๑ คุณยายเป็นประธานกฐินสามัคคีของวัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรกในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๑ (คุณยายอายุ ๘๐ ปี) 

หล่อรูปเหมือนหลวงปู่วัดปากน้ำด้วยทองคำบริสุทธิ์

ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ หลวงพ่อธัมมชโย คุณยาย และคณะศิษยานุศิษย์ พร้อมใจกันแสดงความกตัญญูกตเวทีด้วยการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่วัดปากน้ำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก ๑ ตัน ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยมีพระธรรมปัญญาบดี (ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประธานสงฆ์ประกอบพิธีเททอง (คุณยายอายุ ๘๕ ปี)

เริ่มสร้างมหาธรรมกายเจดีย์

ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงพ่อธัมมชโย คุณยายอาจารย์ และคณะศิษยานุศิษย์ เริ่มสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ (คุณยายอายุ ๘๖ ปี) ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งการประดิษฐานองค์พระธรรมกายภายนอกของมหาธรรมกายเจดีย์ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

หล่อรูปเหมือนคุณยายด้วยทองคำบริสุทธิ์

วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หลวงพ่อธัมมชโยและคณะศิษยานุศิษย์ พร้อมใจกันจัดให้มีพิธีหล่อรูปเหมือนคุณยายมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ด้วยทองคำขนาดเท่ากับองค์จริงที่ลานหน้าโบสถ์ (คุณยายอายุ ๘๙ ปี)

การหล่อรูปเหมือนครูบาอาจารย์เป็นทองคำแท้ทั้งองค์เช่นนี้เป็นการแสดงความกตัญญูอย่างสูงสุดที่เหล่าศิษยานุศิษย์มีต่อท่าน โดยหวังจะให้รูปหล่อนี้เป็นตัวแทนของท่านราวกับท่านยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงข้อวัตรปฏิบัติและมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ของท่าน อีกทั้งยังเป็นการให้ลูกหลานที่จะตามมาในกาลภายหลังได้รับรู้ถึงคุณธรรมคุณวิเศษ และนำท่านเป็นต้นบุญต้นแบบในการสร้างบุญสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

คุณยายสุขภาพอ่อนแอ

ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๓ สุขภาพของคุณยายอ่อนแอลง และต้องการพักผ่อนมากขึ้น คุณยายจึงไม่สามารถออกมาต้อนรับและสอนศิษยานุศิษย์ได้ แต่กระนั้นท่านก็ยังออกมาดูความก้าวหน้าในการก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์อยู่เป็นประจำ

คุณยายละสังขาร

วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ตอนเช้ามืด คุณยายได้ละสังขารอย่างสงบด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ กรุงเทพฯ รวมสิริอายุได้ ๙๑ ปีเศษ

วันสลายร่างคุณยายอาจารย์

ปี พ.ศ.๒๕๔๕  หลวงพ่อธัมมชโย และคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันจัดงานสลายร่างของคุณยายมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในวันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ งานบุญครั้งนี้ มี เจ้าอาวาส พระสังฆาธิการจากกว่า ๓๐,๐๐๐ วัด ทั่วประเทศ กว่า ๑๐๐,๐๐๐ รูป รับนิมนต์เดินทางมาร่วมงานพิธีจุดไฟแก้ว สลายร่างคุณยายอาจารย์ ณ วัดพระธรรมกาย

มหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

ในฐานะที่ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ผู้อุทิศชีวิตสร้างวัดพระธรรมกายให้ศิษยานุศิษย์และเพื่อเป็นโอกาสในการฝึกฝนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อพัฒนาอบรมกาย วาจาใจ นับเป็นการสั่งสมบุญบารมีอันยิ่งใหญ่แก่ทุกๆ ชีวิต หลวงพ่อและคณะศิษยานุศิษย์ของท่านได้พร้อมใจกันสร้างมหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูงโดยใช้พื้นที่บนเกาะกลางน้ำภายในอาณาเขตดั้งเดิมของวัดพระธรรมกาย สำหรับเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานรูปหล่อทองคำของท่าน เพื่อถวายเป็นเกียรติ ประกาศกิตติศัพท์และจารึกประวัติศาสตร์ของมหาอุบาสิกาผู้มีคุณต่อพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกาย  เพื่อให้กราบไหว้สักการบูชาเป็นสิริมงคลต่อตัวเอง พร้อมกับน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณและคุณงามความดีของท่าน ทุกคนที่มาเยือนมหาวิหารแห่งนี้ที่เป็นประดุจดั่งภูเขาทองแห่งความดีทำให้เกิดแรงบันดาลใจและกำลังใจ เป็นพลังผลักดันให้มุ่งมั่นสร้างคุณธรรมความดีจนเกิดผลสำเร็จเหมือนอย่างคุณยายอาจารย์ ผู้เกิดมาในโลกนี้เพื่อยังประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ได้เริ่มก่อสร้างมหาวิหารคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงคุณยาย และได้สถาปนาโดยยกยอดมหาวิหารเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๖

หอฉันคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

ปี พ.ศ.๒๕๔๖ เพื่อเป็นการสนองมโนปณิธานที่สำคัญของคุณยายอาจารย์ ที่ท่านปรารถนาให้มีการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุและสามเณรให้เป็นไปอย่างเพียบพร้อม เพื่อไม่ให้ท่านต้องกังวลในเรื่องการขบฉัน จะได้มีเวลาในการประพฤติปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสอนตนเองและญาติโยมได้อย่างเต็มที่

หอฉันคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง จึงได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖ หลังจากแล้วเสร็จ ได้เริ่มใช้สถานที่เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๗ โดยหอฉันแห่งนี้มีพื้นที่ใช้สอย ๓๒,๐๐๐ตารางเมตร รองรับพระภิกษุ-สามเณรฉันภัตตาหารพร้อมกันได้ ๖,๐๐๐ รูป

อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง 

ปี พ.ศ.๒๕๕๒  เป็นวาระครบรอบอายุ ๑๐๐ ปีของคุณยายอาจารย์ หลวงพ่อธัมมชโยได้เชิญชวนเหล่าศิษยานุศิษย์ให้ร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อคุณยายอาจารย์ฯ บูชาธรรมท่านด้วยการสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง       

อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์ฯ แห่งนี้ เป็นสถาปัตยกรรมรูปทรงกลม เป็นรูปทรงสากลไร้กาลเวลา มีความทันสมัยอยู่เสมอดุจดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่ให้แสงสว่างแก่ชาวโลกเสมอมา  สะท้อนให้เห็น “ความสะอาด สว่าง สงบ” เป็นไปตามหลักการสร้างวัดพระธรรมกายที่คุณยายท่านได้วางรากฐานการพัฒนาวัดอยู่บนความสะอาดและระเบียบ

อาคารหลังนี้เป็นศูนย์กลางแห่งการฟื้นฟูศีลธรรมโลก เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกายไปทั่วรวมสายสัมพันธ์ระหว่างพุทธบุตรและทุกองค์กรพุทธทั่วโลก และเป็นศูนย์รวมงานสร้างบารมีทั้งหมดของวัดพระธรรมกาย ที่เชื่อมโยงทุกงานจากอดีตถึงปัจจุบัน สู่อนาคต เพื่อเชิดชูพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เผยแผ่กว้างไกลไปทุกหย่อมหญ้าทั่วทุกมุมโลก

คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านเป็นต้นบุญต้นแบบแห่งการสั่งสมบุญบารมีที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยว เป็นผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลของวัดพระธรรมกาย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านคิด พูด ทำ ล้วนมีความสะอาดบริสุทธิ์ พิสูจน์ได้จากงานหยาบ คืองานทั่วๆ ไป ท่านก็ทำอย่างละเอียดประณีต มองได้รอบด้าน แก้ไขปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ส่วนงานละเอียดคืองานปฏิบัติสมาธิภาวนาท่านก็เชี่ยวชาญชำนาญ ทั้งประพฤติปฏิบัติได้สมกับความเป็นนักสร้างบารมีเสมือนดั่งนักบวชในกาลก่อนที่ทำตามพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ไม่รู้หนังสือแต่แม่นยำเชี่ยวชาญทำได้จริงตามหลักธรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประวัติศาสตร์ชีวิตของท่านช่างงดงาม ท่านจึงเป็นมหาปูชนียาจารย์ผู้สมควรแก่การเคารพยกย่องสรรเสริญของมนุษย์และเทวดา มีพระคุณอันหาประมาณมิได้ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย